กิฟฟารีนจะเชิญคนไทยมาเป็น “ผู้ใช้สินค้า” ไม่ใช่ “ผู้ขาย” |
กิฟฟารีน |
กิฟฟารีนจะเชิญคนไทยมาเป็น “ผู้ใช้สินค้า” ไม่ใช่ “ผู้ขาย” |
กิฟฟารีน |
กิฟฟารีนจะเชิญคนไทยมาเป็น “ผู้ใช้สินค้า” ไม่ใช่ “ผู้ขาย” |
กิฟฟารีน |
สมัครสมาชิกโทร คุณวรวีร์ 089-1599693 thesun36@gmail.com
กิฟฟารีนจะเชิญคนไทยมาเป็น “ผู้ใช้สินค้า” ไม่ใช่ “ผู้ขาย” |
กิฟฟารีน |
กิฟฟารีนจะเชิญคนไทยมาเป็น “ผู้ใช้สินค้า” ไม่ใช่ “ผู้ขาย” |
กิฟฟารีน |
กิฟฟารีนจะเชิญคนไทยมาเป็น “ผู้ใช้สินค้า” ไม่ใช่ “ผู้ขาย” |
กิฟฟารีน |
ยินดีต้อนรับทุกท่าน สมัครสมาชิก Giffarine แล้วดีอย่างไร ลงทุนน้อย ด้วยค่าสมัครเพียง 160 บาท ตลอดชีพ และสิทธิประโยชน์ในการซื้อผลิตภัณฑ์กิฟฟารีนมากมายกว่า 2,000 รายการ ในราคาพิเศษ ลด 25% พร้อมเริ่มต้นทำธุรกิจได้ทันที
ปราศจากความเสี่ยงในการลงทุน ด้วยศักยภาพของศูนย์ธุรกิจกิฟฟารีน กว่า 92 สาขาทั่วประเทศ และการให้บริการจัดส่งสินค้า “GIFFARINE DELIVERY” ทำให้นักธุรกิจไม่ต้องลงทุนซื้อสินค้าครั้งละมากๆ หรือลงทุนเปิดศูนย์ธุรกิจเอง
ไม่ต้องมีประสบการณ์ สามารถเข้ารับการอบรมกับสถาบันพัฒนานักธุรกิจกิฟฟารีนที่พร้อมจะถ่ายทอดประสบการณ์ตรงและหลักวิธีการทำธุรกิจที่ชัดเจน โดยวิทยากรผู้เชี่ยวชาญได้เป็นประจำทุกสัปดาห์ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งเป็นสถาบันพัฒนานักธุรกิจอิสระที่ดีที่สุด
ทำได้ไม่ยาก แม้ในผู้ที่ไม่ถนัดงานขาย เพราะธุรกิจกิฟฟารีน คือการบอกเล่าความประทับใจในตัวสินค้าที่ตนเองใช้ให้แก่คนรอบข้าง เพื่อสร้างเครือข่ายผู้บริโภค ให้เกิดการซื้อสินค้าใช้ในชีวิตประจำวันอย่างต่อเนื่อง
ทำร่วมกับงานประจำได้ เพียงจัดสรรเวลาวันละ 2-3 ชั่วโมง ในการสร้างเครือข่ายผู้บริโภคสินค้า และติดตามดูแลอย่างสม่ำเสมอ เพื่อการคืนกลับมาของรายได้ที่จะเพิ่มมากขึ้นในอนาคต
ได้เป็นเจ้าของกิจการ ด้วยการเป็นเจ้าของศูนย์ธุรกิจกิฟฟารีนทั้ง 92 สาขา ที่มีสินค้าคุณภาพจำหน่ายกว่า 2,000 รายการที่ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยสามารถบริหารจัดการองค์กรของตนเองอย่างเป็นอิสระ และได้รับการสนับสนุนทางการตลาดอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้มีรายได้และสร้างกำไรนับตั้งแต่เดือนแรกที่ทำธุรกิจ
มีรายได้ที่ดีในระยะเวลาอันสั้น และมั่นคงในระยะยาว ด้วยแผนการจ่ายผลตอบแทนที่คุ้มค่า ยุติธรรม และถูกต้องตามกฎหมาย ทำให้มีผู้สนใจทำธุรกิจเป็นจำนวนมากส่งผลให้ยอดจำหน่ายที่ผ่านมาสูงถึง 20,000 ล้านบาท และได้มอบรายได้ให้แก่นักธุรกิจกิฟฟารีนไปแล้วกว่า 8,300 ล้านบาท
เป็นมรดกทางธุรกิจ ด้วยการส่งมอบเครือข่าย และรายได้จากธุรกิจให้แก่ทายาทได้ในอนาคต
มีความมั่นคงทางธุรกิจ บริษัทกิฟฟารีนฯ ก่อตั้งด้วยการลงทุนเงินสดจำนวน 100 ล้านบาท จึงปราศจากภาระหนี้สิน และมีผลประกอบการที่เติบโตขึ้นทุกปี ปีละไม่ต่ำกว่า 10% ปัจจุบันมีทรัพย์สินโดยรวม ประมาณ 5,000 ล้านบาท
โทรถามที่ 089-1350302 หรือ 085-9042600
คำอธิบายที่ง่ายที่สุดของ Multi Level Marketing ก็คือ การทำให้ชีวิตประจำวันในการใช้ผลิตภัณฑ์ของเรา แปรเปลี่ยนเป็นรายได้ ความภูมิใจ และความสำเร็จ
แตกต่างจากการค้าปลีก...หากแต่เป็นอีกวิธีการหนึ่งซึ่งสินค้าที่เราใช้ จะถูกแนะนำจากเพื่อน จากญาติพี่น้อง จากคนที่รักเราและเรารัก ด้วยความมั่นใจในการทดลองใช้เองของเขาเหล่านั้น ความชื่นชมในตัวสินค้า จะถูกแนะนำต่อๆ กันไปและรายได้ที่คืนกลับมาให้ทุกคน คือส่วนที่ไม่ต้องเสียไปในช่องทางค้าปลีก
ที่บ้านสีฟ้า ประเด็นที่เรามอง คือ ความสุขจากความรักและความผูกพันเสมือนเป็นครอบครัวใหญ่...เสมือนเราทุกคนเป็นญาติพี่น้องรายได้และความสำเร็จคือสิ่งที่จะตามมา ภายหลังความภาคภูมิใจที่เราได้ช่วยให้กันและกันมีชีวิตที่ดีขึ้น และได้พบกับความฝันที่สัมผัสได้
ความเข้าใจในหัวใจของคนไทย ทำให้ทุกคนในครอบครัวของกิฟฟารีน ทำงานด้วยความสุข ไม่มีการบีบบังคับ หรือกดดันด้วยการลงทุนที่กลายเป็นบาดแผลของชีวิต
ในบ้านสีฟ้า...ทุกคนเลือกได้ว่า วันนี้เราจะพอใจที่รายได้เท่าใด ในเวลาและเงื่อนไขอย่างไร ด้วยความสุขและความอุ่นใจ
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ โคลีน และ วิตามิน บี คอมเพล็กซ์ |
สรุปคุณสมบัติของโคลีน สรุปคุณสมบัติของ วิตามิน บี คอมเพล็กซ์ โคลีน วิตามินบี-คอมเพล็กซ์ คืออะไร เอกสารอ้างอิง |
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ ขมิ้นชัน |
ขมิ้นชัน เป็นพืชสมุนไพรชนิดหนึ่ง ซึ่งสามารถนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพ เนื่องจากมีคุณประโยชน์และงานวิจัยทางด้านการแพทย์กล่าวโดยสรุปได้ดังนี้ ขมิ้นชันมี ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Curcuma longa Linn., Curcuma domestica Valeton. ชื่อวงศ์ Zingiberaceae ชื่อท้องถิ่น ขมิ้นแกง, ขมิ้นชัน, ขมิ้นหยวก, ขมิ้นหัว, ขี้มิ้น, ยากยอ, สะยอ, หมิ้น ส่วนที่ใช้คือ เหง้าสดและแห้ง ระบบหัวใจและหลอดเลือดหัวใจและสมอง |
เรื่องน่ารู้สำหรับลูทีนซีแซนทีนอาหารบำรุงสายตา |
สาร ลูทีนและซีแซนทีน เหมาะกับผู้ใช้สายตามาก ผู้สูงอายุ ผู้ที่ทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ หรืออยู่กับแสงสว่างจ้า กลางแดด ผู้ที่ต้องขับรถกลางคืนบ่อย ๆ ผู้ที่โดนแฟลช ดูทีวีมากและนาน ผู้ป่วยเบาหวาน โรคหัวใจ มะเร็งเต้านม ประโยชน์ โดยสรุปของสาร ลูทีนและซีแซนทีนที่มีงานวิจัยมีดังนี้คือ ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคต้อกระจก และโรคจอตาเสื่อม ( AMD ) มะเร็งเต้านมและโรคหลอดเลือดหัวใจ ลูทีน (Lutein) และซีแซนทีน (Zeaxanthin) เป็นสารธรรมชาติจัดอยุ่ในกลุ่มของสารรงควัตถุที่มีสีในตระกูลของสาร แคโรทีนอยด์ แต่มีความแตกต่างจากคาโลทีนอยด์ชนิดอื่นตรงที่จะไม่เปลี่ยนไปเป็นวิตามิน เอ ลูทีน และซีแซนทีน มีในเนื้อเยื่อของร่างกายมนุษย์หลายจุดด้วยกัน ส่วนของร่างกายที่มีสาร ลูทีน และซีแซนทีน ได้แก่ในลูกตา คือ ที่เลนส์ตา และจอรับภาพของตา คือเรติน่า ตรงตำแหน่ง จุดรับภาพของลูกตา ( Macula ) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่สำคัญที่สุดในจอตาเรติน่าเพราะเป็นจดุที่รูปภาพและแสงส่วนมากจะมาตกบริเวณนี้ เป็นส่วนที่จอตารับภาพได้ชัดที่สุดนั่นเอง ในธรรมชาติแล้วแม้จะมีแคโรทีนอยด์มากกว่า 600 ชนิด แต่มีเพียง 20 ชนิดเท่านั้นที่พบในมนุษย์ และมีเพียง 2 ชนิดเท่านั้นที่พบในจุดรับภาพของลูกตา ( Macula ) คือ ลูทีน ( Lutein ) และ ซีแซนทีน ( Zeaxanthin ) ในจอตาทั้งคู่ทำหน้าที่ นอกจากนี้ ลูทีน และซีแซนทีน ยังพบได้ใน ตับ ตับอ่อน ไต ต่อมหมวกไต และเต้านมแต่ก็เป็นสารที่ร่างกายสังเคราะห์เองไม่ได้ ร่างกายของเราจะได้รับสารนี้ก็ต่อเมื่อรับประทานพืชผักที่มีสารนี้เท่านั้น แต่สารซีแซนทีนนอกจากจะได้จากอาหารส่วนหนึ่งแล้ว ร่างกายสามารถเปลี่ยนสารลูทีนในตาไปเป็นสารซีแซนทินได้ พืชผักที่มีสาร ลูทีน และซีแซนทีน โดยมากมักจะเป็นผัก ผลไม้ ที่มีสีเหลืองและสีเขียวเข้ม เช่น ข้าวโพด ผักกาด ผักปวยเล้ง คะน้า ผักโขม ลูทีนและซีแซนทีน มีประโยชน์ในโรคหลายชนิดด้วยกัน ที่สำคัญคือ โรคต้อกระจก และโรคโรคจุดรับภาพเสื่อม โรคหัวใจและหลอดเลือด และช่วยลดอุบิตการณ์ในโรคมะเร็ง บางชนิด โรคต้อกระจก ( Cataracts ) สาเหตุหลัก คือ การเปลี่ยนแปลงของส่วนประกอบของเลนส์ตา ทำให้เลนส์ขุ่น และนิวเคลียสแข็งขึ้น พบการเปลี่ยนแปลงนี้ในผู้สูงอายุ พบบ่อยตั้งแต่อายุ 50 ปีขึ้นไป สาเหตุอื่น เช่น จากกรรมพันธุ์ จากอุบัติเหตุตา จากการติดเชื้อ จากการติดเชื้อในครรภ์มารดา ถ้าพบตั้งแต่เกิดก็เรียกว่า “ต้อกระจกแต่กำเนิด” เช่นในเด็กที่เกิดหลังจากมารดาติดหัดเยอรมันระหว่างตั้งครรภ์ ในคนที่เป็นเบาหวานพบว่าเป็นต้อกระจกเร็วกว่าคนธรรมดาอย่างมาก ตาปกติเลนส์ตาจะใส และปล่อยให้แสงผ่านไปได้ แต่เมื่อเป็นต้อกระจก เลนส์ตาจะขุ่นแสงผ่านเข้าไม่ได้ เมื่อเริ่มเป็นต้อกระจก ผู้ป่วยจะรู้สึกตาข้างนั้นมัวคล้ายมองผ่านหมอก อาจมองเห็นภาพซ้อน ขับรถตอนกลางคืนลำบากขึ้น เมื่อต้อกระจกเป็นมากขึ้น จะสามารถสังเกตเห็นต้อสีขาวที่ม่านตาได้ การตรวจวินิจฉัย เมื่อมีอาการตามัวควรไปรับการตรวจจากจักษุแพทย์ ต้อกระจกจะทำให้สายตามัวไปทีละน้อย เมื่อต้อสุกจะมองเห็นแต่มือไหว ๆ หรือเห็นเพียงแสงไฟเท่านั้น โรคจุดรับภาพเสื่อม( Age-Related Macula Degenerationหรือ AMD ) ลูทีนและซีแซนทีน กับโรคต้อกระจก ลูทีน และซีแซนทีน กับโรคจุดรับจอภาพเสื่อม ลูทีน กับมะเร็งเต้านม ลูทีน ซีแซนทีน กับโรคหลอดเลือดหัวใจ กล่าวโดยสรุป ลูทีนและซีแซนทีน จึงเป็นสารอาหารธรรมชาติที่มีคุณประโยชน์เป็นที่เชื่อถือได้ ในหลายโรคด้วยกัน มีความปลอดภัย และเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้บริโภค เอกสารอ้างอิง 1. The Body of Evidence to Support a Protective Role for Lutein and Zeaxanthin in Delaying Chronic Disease. Overview The American Society for Nutritional Sciences J. Nutr. 132:518S-524S, 200 |
ชาเขียวมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่าCamellia Sinensis |
มีสายพันธุ์มากกว่า 1200 สายพันธุ์ มีชื่อเรียกที่แตกต่างกันมากมาย ขึ้นอยู่กับแหล่งที่ปลูก เป็นทั้งไม่พุ่มและไม้ยืนต้น ที่มีอายุตั้งแต่ 60-300 ปี ไม้พุ่มทั่วไป จะมีการตัดแต่งให้เก็บยอดได้ง่าย มักจะสูงไม่เกิน 1.50 เมตร ที่เป็นไม้ยืนต้นที่มีอายุมากที่สุด พบที่ยูนนานของจีน มีอายุ มากกว่า 300 ปี มีความสูง 15-20 เมตร ชาเขียวเป็นที่ยอมรับแล้วว่ามีกำเนิดจากประเทศจีน ในอดีตมีการค้าขายเดินเรือไปทั่วโลกทำให้ชาเขียวแพร่ไป ยุโรป อินเดีย บราซิล และที่อื่นๆ ชาเขียว ต้นเดียวกัน สามารถทำเป็นชาที่นิยมกันได้ ถึงสามชนิดคือ - ชาเขียว ( Green tea ) - ชาอูหลง ( Oolong Tea ) - ชาดำ ( Black Tea ) ชาทั้งสามชนิดมาจากชาเขียวต้นเดียวกัน แต่ผ่านกรรมวิธีที่ต่างกัน เมื่อเก็บเกี่ยวใบชาออกมาจากต้นแล้ว คือ ชาเขียว เป็นชาที่ไม่ผ่านการหมัก เมื่อเก็บเกี่ยวแล้ว มีการอบความร้อน เพื่อไล่ความชื้น หรืออบไอน้ำ การอบความร้อนหรือไอน้ำจะยับยั้งเอนไซม์ที่ทำให้ชาถูกหมัก เมื่ออบแล้วจะนำมาคั่วแห้งและเก็บไว้ชงชา ชาอูหลงเป็นชากึ่งหมัก (Semi fermented) คือเมื่อเก็บเกี่ยวแล้ว ผึ่งความร้อนเพียงเล็กน้อย จะมีการนวดชาด้วยมือให้ช้ำ และเกิดเอนไซม์ เป็นการหมักเล็กน้อย ระยะหนึ่งจึงนำไปคั่ว ชาดำ จะถูกทิ้งให้ผ่านการหมักเต็มที่จนใบชากลายเป็นสีเข้ม ชาทั้งสามชนิด จะมีรสชาติที่ต่างกันออกไป แต่ชาเขียวจะมีคุณค่ามากที่สุดเพราะสารต้านอนุมูลอิสระไม่ถูกทำลายจากาการหมัก ยังมีชาอื่น ๆ อีก เช่น ชาขาว ซึ่งก็เป็นชาเขียว แต่เด็ดแต่ยอดชาในเวลาไม่เกิน 48 ชั่วโมง ใบชาจะมีขนอ่อนและเป็นสีขาว จะมีคาเฟอีนน้อยที่สุด ชาเขียว ให้ประโยชน์แก่ร่างกายมากมายหลายประการ โดยมี สารสำคัญที่ทำให้เกิดประโยชน์ ( Active health component ) เรียกว่า โพลีฟีนอล ( Polyphenols ) หรือเรียกกันทั่วไปว่า คาเทชิน ( Catechins ) ซึ่ง Catechins นี้จะมีปริมาณ 30-40 % ของส่วนที่เป็นของแข็งที่สามารถสกัดได้จากใบชาเขียวแห้ง ( อ้างอิงที่ 1 ) คาเทชินที่อยู่ในชาเขียว ประกอบไปด้วย Epigallocatechin-3-gallate (EGCG), Epicatechin-3-gallate, Epicatechin, Epigallocatechin, Gallocatechin gallate and Catechin ในทั้งหมดนี้ สารที่มีมากที่สุดก็คือ Epigallocatechin-3-gallate หรือ อี จี ซี จี ( EGCG ) ขนาดใบชาเขียวแห้ง 1 ซอง ( 1.5 กรัม ต่อซอง ) จะให้ EGCG ประมาณ 35 - 110 mg ( อ้างอิงที่ 2 ) EGCG นับได้ว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระจากธรรมชาติ ที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดในชาเขียวและมีปริมาณมากที่สุด ( อ้างอิงที่ 3 ) มีความแรงของการต้านอนุมูลอิสระ มากกว่า วิตามิน C และวิตามิน E 25-100 เท่า การรับประทานชา ประมาณ 1 แก้วต่อวัน จะให้สารต้านอนุมูลอิสระ มากกว่าการรับประทาน แครอท บรอคเคอรี่ ผักโขม และสตรอเบอรี่ ในขนาดที่รับประทานในแต่ละมื้อ ( อ้างอิงที่ 29 ) และมีหลายงานวิจัยระบุว่ามีประโยชน์ต่อร่างกาย ดังนี้ 1. ช่วยลดความอ้วน ด้วยกลไกของการกระตุ้นปฏิกิริยาออกซิเดชั่นของไขมัน ( Stimulates fat oxidation ) มีรายงานวิจัยที่มีข้อมูลสนับสนุนว่า EGCG ช่วยเพิ่มกระบวนการ การเผาผลาญพลังงานของเนื้อเยื่อไขมัน และมีรายงานการทดลองในคนแล้วว่า ช่วยลดความอ้วนได้ ( อ้างอิงที่ 4-7 ) 2. ช่วยลดไขมันในเลือด แม้จะลดไขมันในเลือดได้ไม่มากนัก แต่ก็มีงานวิจัยที่ดีรองรับสองงานวิจัย ในงานวิจัยแรก พบว่า เมื่อรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงการดื่มชาในปริมาณปานกลางหรือปริมาณมาก ร่วมด้วยจะลดปริมาณ ไขมันในเลือดชนิด ไตรกลีเซอไรด์ลงได้อย่างมีนัยสำคัญใน ช่วง 6 ชั่วโมงหลังทานอาหารและดื่มชา โดยลดการเพิ่มระดับของไขมันชนิด ไตรกลีเซอรไรด์ในเลือดได้ถึง 15.1-28.7% ( อ้างอิงที่ ,8 ) อีกงานวิจัยพบว่า ผู้ที่ดื่มชาประมาณ สองถ้วยต่อวัน สามารถลดไขมันในเลือดชนิดโคเลสเตอรอลลงได้เล็กน้อย (119 เป็น 106 มก/ดล.) แต่ก็มีนัยสำคัญทางคลินิก ( อ้างอิงที่ 9 ) 3. ช่วยโรคเส้นเลือดอุดตัน มีรายงานวิจัยว่า สารสำคัญในชาเขียว สามารถลดการหดเกร็งของเลือดฝอย ลดการเกิดตะกอน ( Plaque ) ในเส้นเลือดฝอย ทำให้ลดอุบัติการ ของโรค กล้ามเนื้อหัวใจตายจากการขาดเลือด ( Myocardial infarction ) และอัมพฤกษ์ อัมพาตจากเส้นเลือดตีบตัน ( Storke ) ( อ้างอิงที่10-14 ) นอกจากนี้ EGCG ยังเป็นตัวยับยั้งการเกิด การสันดาปOxidation ของโคเลสเตอรอล ทำให้ลดการเกิด การสะสมสร้าง ตะกอน ( Plaque ) ในเส้นเลือด จาก โคเลสเตอรอล ทำให้ลดการเกิด เส้นเลือดแข็งตัวตีบตัน ( atherosclerosis ) และลดอุบัติการณ์ของโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ (Cronary atherosclerosis ) ( อ้างอิงที่ 15-17) ในงานวิจัยในสัตว์ทดลองยังลดการเกิดเส้นเลือดในปอดตีบตัน (Pulmoary Thrombosis) อีกด้วย (อ้างอิงที่ 13,18 ) ส่งให้เป็นผลดีต่อสุขภาพของหลอดเลือดหัวใจ 4. ต่อต้านอนุมูลอิสระ และ ต่อต้านมะเร็ง ( Antioxidant and Anticancer ) ( อ้างอิงที่ 19 ) ชาเขียวมีผลต่อการยับยั้งการเกิดมะเร็งได้หลายชนิดทั้งในคนและสัตว์ เพราะมีฤทธิ์ทางด้านการต้านอนุมูลอิสสระอย่างมาก การวิจัยทางระบาดวิทยาพบว่า ในกลุ่มผู้ที่ดื่มชาเขียวเป็นประจำจะมีอุบัติการณ์ของมะเร็งต่อมลูกหมาก กระเพาะอาหาร และมะเร็งผิวหนังลดลง ทั้งนี้เพราะสารสกัด ประเภทโพลีฟีนอลในชาเขียวมีผลยับยั้งมะเร็งจำนวนมากด้วยกลไกที่หลากหลาย โดยเฉพาะสารสำคัญตัวหนึ่งในชาเขียวคือ epigallocatechin-3-gallate (EGCG) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีคุณภาพสูงในชาเขียว ยังมีผลยับยั้งเซลล์มะเร็งต่อมลูกหมากของคนอย่างชัดเจน ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับว่าการรับประทานชาเขียว มีผลยับยั้งการก่อมะเร็งได้หลายชนิด ที่มีงานวิจัยในสัตว์ทดลองพบว่าสามารถยับยั้งมะเร็งของ ผิวหนัง มะเร็งปอด มะเร็งช่องปาก มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งตับ มะเร็งต่อมลูกหมาก (อ้างอิงที่ 20-24) สำหรับมะเร็งในคนที่มีงานวิจัยดีที่สุดคือ มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งผิวหนัง ตามมาด้วยมะเร็งเต้านม โดยพบว่า สาร EGCG สามารถลด การเติบโต เซลล์มะเร็งเต้านมในคนได้ และยับยั้งมะเร็งเต้านมของหนูได้ การวิจัยนี้ บอกถึงศักยภาพในอนาคตที่จะนำมารักษาผู้ป่วยมะเร็งเต้านม ( อ้างอิงที่ 25) และงานวิจัยล่าสุด ได้มีงานวิจัยโดยใช้สารสกัดชาเขียวในผู้ป่วยมะเร็งปอดเป็นครั้งแรก ซึ่งยังเป็นการทดลองเบื้องต้น พบว่าได้ผลเล็กน้อยเท่านั้น อย่างไรก็ตามมะเร็งปอดเป็นมะเร็งที่ดื้อต่อยาต้านมะเร็งมากที่สุดชนิดหนึ่งอยู่แล้ว แต่ก็บอกศักยภาพในการต้านมะเร็งของสารสกัดชาเขียวได้เป็นอย่างดี ( อ้างอิงที่ 26 ) 5. ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียได้หลายสายพันธ์ที่เป็นสาเหตุของโรคฟันผุ ทำให้ช่วยปกป้องโรคฟันผุได้ ( อ้างอิงที่ 27-28) เมื่อบริโภคชาเขียวทั่วไป จะพบว่าในชาเขียว ยังมีสาร คาเฟอีน ซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นประสาท ทำให้ไม่ง่วงนอน จึงเป็นที่แนะนำว่า ไม่ควรรับประทาน ชา/กาแฟ ก่อนนอน เพราะจะทำให้นอนไม่หลับ และ ไม่ควรบริโภคในเด็ก แต่ในสารสกัดจากชาเขียว อีจีซีจี จะมีคุณประโยชน์เท่ากับชาเขียวคุณภาพดี 1 แก้ว แต่ จะมีสารคาเฟอีนในปริมาณที่น้อยมากๆ คือในปริมาณ เพียง 0.05 ม.ก. ซึ่งน้อยกว่าชาเขียวที่ชงดื่มทั่วไป ถึงประมาณ 900 เท่า ทำให้ไม่มีผลต่อการกระตุ้นประสาท หรือนอนไม่หลับ แต่อย่างใด เอกสารอ้างอิง : 1. The Growth Factor, Vol No. 3 / 03 - Mita (P) No 214 / 04 / 2002 ; A Publication of Roche Vitamins Asia Pacific Pte Ltd. 2. Catechins in Green Tea, TEAVIGO TM Roche Vitamins Ltd, data on file 3. Antioxidant chemistry of green tea catechins., The University of Arizona, USA., Chem Res Toxicol.1999 Apr;12(4):382-6 4. TEAVIGO and modulation of obesity, EGCG attenuates body fat accumulation , TEAVIGO TM Roche Vitamins Ltd, data on file 5. Efficacy of a green tea extract rich in catechin polyphenols and caffeine in increasing 24-h energy expenditure and fat oxidation in humans, University of Geneva., Am J Clin Nutr. 1999 Dec;70(6):1040-5. 6. Green tea and thermogenesis: interactions between catechin-polyphenols, caffeine and sympathetic activity, University of Fribourg, Switzerland, Int J Obes Relat Metab Disord. 2000 Feb;24(2):252-8. 7. Anti-obesity effect of tea catechins in humans, J Oleo Sci 2001;50:599-605 8. Effect of tea catechins on postprandial plasma lipid responses in human subjects. Br J Nutr. 2005 Apr;93(4):543-7. 9. Effectiveness of moderate green tea consumption on antioxidative status and plasma lipid profile in humans. J Nutr Biochem. 2005 Mar;16(3):144-9 10. Tea flavonoids and cardiovascular diseases : a review. Crit Rev Food Sci Nutr 1997;37:771-785 11. Inhibitory effects of purified green tea epicatechins on contraction and proliferation of arterial smooth muscle cells, Acta Pharmacol Sin 2000;21(9):835-840 12. Tea catechins prevent the development of artherosclerosis in apoprotein E-deficient mice, J Nutr 2001;131:27-32 13. Antithrombotic activities of green tea catechins and ( - ) - Epigallocatechins Gallate, Thromb Res 1999;96:229-237 14. Possible contribution of green tea drinking habits to the prevention of stroke, Tohuku J Exp Med 1989;157:337-343 15. TEAVIGO and cardiovascular health, A potent antioxidant and antiatherogenic agent , TEAVIGO TM Roche Vitamins Ltd, data on file 16. Tea catechins inhibit cholesterol oxidation accompanying oxidation of low density lipoprotein invitro, Comp Biochem Physiol Part C 2001;128:153 164 17. Relationship between green tea consumption and the severity of coronary atherosclerosis among Japanese men and women, Ann Epidemiol 2000;10:401-408 18. TEAVIGO and cardiovascular health, A potent antithrombotic agent , TEAVIGO TM Roche Vitamins Ltd, data on file 19. Antioxidant effects of tea: evidence from human clinical trials. J Nutr 2003 Oct;133(10):3285S-3292S . 20. Molecular targets for green tea in prostate cancer prevention. J Nutr 2003 Jul;133(7 Suppl):2417S-2424S. 21. Inhibition of carcinogenesis by tea. Annu Rev Pharmacol Toxicol 2002;42:25-54 22. Green tea polyphenols and cancer chemoprevention: multiple mechanisms and endpoints for phase II trials. Nutr Rev. 2004 May;62(5):204-11 23. Mechanisms of cancer prevention by tea constituents. J Nutr. 2003 Oct;133(10):3262S-3267S 24. Anti-cariogenic properties of tea ( Camellia sinesis ), J Med Microbiol 2001;50:299-302 25. Catechins and the treatment of breast cancer: possible utility and mechanistic targets. IDrugs. 2003 Nov;6(11):1073-8. 26. Phase I study of green tea extract in patients with advanced lung cancer. Cancer Chemother Pharmacol. 2005 Jan;55(1):33-8. Epub 2004 Aug 7. 27. TEAVIGO and oral health, A natural antimicrobial agent , TEAVIGO TM Roche Vitamins Ltd, 28. Makimura M. et al., Inhibitory effect of tea catechins on collagenase activity, J Periodontol 1993;64:630-36 |
อาหารเสริมที่มีฤทธิ์ ต้านอนุมูลอิสสระที่แรงที่สุด ได้ชื่อว่าเป็น Super antioxidant |
สารสกัดจากเมล็ดองุ่น เป็นสารประเภท ไบโอฟลาโวนอยด์ มีสารที่สำคัญหลายตัว เป็น กลุ่มของโปรแอนโทรไซยานิดิน ( Proanthocyanidin หรือมีอีกชื่อว่า พีซีโอ ( PCO: Procyanidolic Oligomers ) มีประสิทธิภาพต้านอนุมูลอิสระแรงที่สุด จนได้ชื่อว่า ซุปเปอร์แอนตี้ออกซิแดน สาร พีซีโอตัวนี้มีมากที่สุดในเมล็ดองุ่น และใน เบอร์เบอรี่ เชอรี่ พลัม ถั่วและผักบางชนิด ประวัติการค้นพบสารสกัดจากเมล็ดองุ่น มาจาก การค้นพบทางการแพทย์ที่พบว่าคนที่ดื่มไวน์แดงเป็นประจำจะมีโอกาสเป็นโรคหัวใจ และมีอัตราตายจากโรคหัวใจ น้อยกว่าผู้อื่น ในครั้งแรกคิดว่าเป็นผลจากแอลกอฮอล์ ต่อมาจึงพบว่าส่วนใหญ่เป็นผลจากสารสกัดในเมล็ดองุ่น . ( อ้างอิงที่ 1 ) ประโยชน์ 1. ลดการสะสมของโคเลสเตอรอลต่อผนังเส้นเลือด ทำให้เส้นเลือด ไม่ตีบตัน ลดการอุดตันของเส้นเลือด ( อ้างอิงที่ 2,4) 2. มีผลต่อกล้ามเนื้อหัวใจ โดยทำให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรง และทนทานต่อภาวะการขาดเลือด และลดการเต้นผิดจังหวะ มีผลทำให้ลดอัตราตายจากโรคหัวใจ ( อ้างอิงที่ 3 ) 3. มีผลยับยั้งเซลล์มะเร็งหลายชนิด เช่น ปอด กระเพาะอาหาร มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งเต้านมในคน ( อ้างอิงที่4- 6 ) 4. สามารถป้องกันเซลล์มะเร็งในช่องปาก จมูก หลอดอาหารในกลุ่มประชากรที่เคี้ยวใบชา ซึ่ง เสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งชนิดนี้ ( อ้างอิงที่ 7) การทานผักและผลไม้ที่มี เบต้าคาโรทีน วิตามิน ซี วิตามิน อี สูงสามารถที่จะลดอุบัติการการเป็นมะเร็งเต้านม และมะเร็งปอด และยังลด อุบัติการของโรคหัวใจขาดเลือด ทั้งหมดนี้มีงานวิจัยสนับสนุนในประชากรนับหมื่นคน ( อ้างอิงที่ 8-10 12-13,16 ) กล่าวโดยสรุปแล้วสารต้านอนุมูลอิสระ มีผลดีต่อร่างกาย เป็นสารธรรมชาติที่ช่วยชะลอการแก่ และลดมะเร็งต่าง ๆ และลดอุบัติการโรคหัวใจขาดเลือดได้จริง มีมากในผักและผลไม้หลายชนิด ซึ่งอาจจะหารับประทานได้ไม่ยาก เอกสารอ้างอิง 1. Grape seed proanthocyanidins improved cardiac recovery during reperfusion after ischemia in isolated rat hearts. Am J Clin Nutr 2002 May;75(5):894-9 2002;75(5):894-9. 2. Proanthocyanidin-rich extract from grape seeds attenuates the development of aortic atherosclerosis in cholesterol-fed rabbits. Atherosclerosis 1999;142(1):139-49. 3. Grape seed proanthocyanidins improved cardiac recovery during reperfusion after ischemia in isolated rat hearts. Am J Clin Nutr 2002 May;75(5):894-9 2002;75(5):894-9. 4. Free radicals and grape seed proanthocyanidin extract: importance in human health and disease prevention. Toxicology 2000 Aug 7;148(2-3):187-97 2002;148(2-3):187-97. 5. Anticarcinogenic effect of a polyphenolic fraction isolated from grape seeds in human prostate carcinoma DU145 cells: modulation of mitogenic signaling and cell-cycle regulators and induction of G1 arrest and apoptosis. Mol Carcinog 2000 Jul;28(3):129-38 2002;28(3):129-38. 6. A polyphenolic fraction from grape seeds causes irreversible growth inhibition of breast carcinoma MDA-MB468 cells by inhibiting mitogen-activated protein kinases activation and inducing G1 arrest and differentiation. Clin Cancer Res 2000 Jul;6(7):2921-30 2002;6(7):2921-30. 7. Protective effects of antioxidants against smokeless tobacco-induced oxidative stress and modulation of Bcl-2 and p53 genes in human oral keratinocytes. Free Radic Res 2001 Aug;35(2):181-94 2002;35(2):181-94. 8. Intake of vitamins E, C, and A and risk of lung cancer. The NHANES I epidemiologic follow-up study. First National Health and Nutrition Examination Survey. Am J Epidemiol 1997;146(3):231-43. 9. Dietary carotenoids and vitamins A, C, and E and risk of breast cancer. J Natl Cancer Inst 1999;91(6):547-56. 10. Dietary antioxidants and risk of myocardial infarction in the elderly: the Rotterdam Study. Am J Clin Nutr 1999;69(2):261-6. |
แคลเซี่ยมเสริมสุขภาพ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกระดูกและฟัน อีกทั้งป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุน | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
วิตามินและแร่ธาตุมีคุณประโยชน์ ดังนี้ 1. วิตามิน ดี3 เสริมประสิทธิภาพในการดูดซึมแคลเซี่ยมให้ดีขึ้น 2. แมกนีเซียม เป็นส่วนประกอบสำคัญสำหรับการเผาผลาญอาหาร ระบบประสาทและกล้ามเนื้อ เป็นส่วนประกอบของกระดูกและฟัน ป้องกันการเป็นตะคริว 3. วิตามินซี เสริมสร้างผนังหลอดเลือด ช่วยในการดูดซึมแร่ธาตุ เสริมสร้างเซลล์ให้แข็งแรง 4. สังกะสี เป็นส่วนจำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตของระบบสืบพันธุ์ เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น 5. ทองแดง ช่วยในการหายใจของเซลล์ เป็นส่วนสำคัญของการสร้างเนื้อเยื่อ และมีส่วนสำคัญต่อการเจริญเติบโตของกระดูก 6. วิตามิน อี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันไม่ให้เซลล์เสื่อมสภาพ ช่วยลดการเกิดโรคหลายชนิดที่เกิดจากเซลล์ถูกทำลาย หน้าที่สำคัญของแคลเซี่ยม 1. เสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง ป้องกันความผิดปกติของกระดูก เช่น กระดูกหักง่าย หลังโก่งงอ กระดูกเรียงผิดรูป หรือฟันโยกหลุดง่าย 2. ป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุน 3. ป้องกันการปวดเกร็งในช่องท้องในผู้หญิงระหว่างมีประจำเดือน 4. ลดอาการกระตุกของกล้ามเนื้อ และอาการชาตามปลายมือ ปลายเท้า 5. ช่วยให้การเจริญเติบโตในด้านความยาว และความแข็งแรงของเด็กในวัยเจริญเติบโต คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับแคลเซี่ยม 1. แคลเซี่ยม จำเป็นต่อการเติบโตของกระดูก และเรื่องของความสูงหรือไม่ ? คำตอบคือ จำเป็นครับเพราะแคลเซี่ยมและฟอสฟอรัสคือ แร่ธาตุหลักของกระดูก " เมื่อมีการขาดแคลเซี่ยมในระยะเติบโต ทำให้แคลเซี่ยมจากกระดูกถูกดึงออกมาใช้ภายนอกเซลล์ เพื่อช่วยในการปรับสภาพอิเลคโตรไลต์ของร่างกายให้สมดุลย์ ปริมาณแคลเซี่ยมในกระดูกจึงยิ่งลดลง มีผลทำให้การเติบโตด้านความสูงของเด็กหยุดชะงักได้ " 2. ความสูงขึ้นอยู่กับแคลเซียมเท่านั้นหรือ ? คำตอบคือ ไม่ใช่ครับแคลเซี่ยมจำเป็นต่อกระดูกเหมือนแสงแดดจำเป็นต่อต้นไม้ แต่ต้นไม้ไม่ได้ต้องการแสงแดด เพียงอย่างเดียวครับ ต้นไม้ต้องการ ปุ๋ย ดิน น้ำ ด้วย ปัจจัยที่ช่วยให้สูงได้ไม่ใช่แคลเซียมอย่างเดียว มีหลายอย่างที่สำคัญ มีดังนี้ 2.1 อายุ - เด็กสาว จะหยุดสูงเมื่ออายุกระดูก 16 ปีโดยประมาณ หลังจากมีประจำเดือนแล้ว 3 ปี (โดยปกติเด็กสาวจะมีเต้านมก่อน จากนั้นอีกประมาณ 2 ปีจึงจะมีประจำเดือน) ในกรณีที่เด็กสาวมีประจำเดือนเร็ว อาจสูงได้อีก 5-7 ซ.ม. และหยุดสูง หลังจากมีประจำเดือนแล้วประมาณ 3 ปี - เด็กชาย มักจะหยุดสูงเมื่ออายุกระดูก 18 ปี คือประมาณ 3 ปี หลังจากเสียงแตก - อย่างไรก็ตาม เมื่อเด็กสาวมีอายุ 16 ปี และเด็กชายมีอายุ 18 ปี อาจจะสูงเพิ่มได้อีกประมาณ 1-2 ซ.ม (Spinal Column Growth) แล้วจะหยุดสูงโดยสิ้นเชิง 2.2 พันธุกรรม ยีนจากพ่อแม่ปู่ย่าตายาย จะมีผลต่อพันธุกรรมความสูงของเด็กความผิดปกติทางโครโมโซมก็มีผลที่ทำให้เด็กตัวเตี้ยได้ 2.3 โภชนาการ การได้รับอาหารที่เหมาะสมทั้งพลังงาน โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต เกลือแร่ และที่สำคัญเป็นหลักของกระดูกคือ แคลเซี่ยมและฟอสฟอรัสที่เพียงพอ 2.4 การพักผ่อนที่เพียงพอ และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ 2.5 เด็กที่ได้รับการเลี้ยงดูด้วยความรัก ความอบอุ่นจะเจริญเติบโตได้ดี 3. แคลเซี่ยม ช่วยเร่งให้ร่างกายสูงเร็วจริงหรือ ? คำตอบคือ ไม่ใช่ครับแต่การขาดแคลเซี่ยมที่ผลทำให้ความสูงหยุดชะงักดังกล่าว ควรได้รับแคลเซี่ยมที่เพียงพอ เมื่อประกอบกับปัจจัย อื่นๆ ก็จะช่วยให้ร่างกายสูงเต็มที่มากที่สุด ตามธรรมชาติที่ควรจะเป็นครับ 4. เราต้องการแคลเซี่ยมเท่าใด ? คำตอบคือ ตามมาตรฐานคนไทยกระทรวงสาธารณสุขได้วางข้อกำหนดไว้ ดังนี้
5. จะหาแคลเซี่ยมรับประทานได้จากที่ไหน?
ตัวอย่างอาหารที่มีแคลเซี่ยมสูง (ในส่วนที่กินได้ 100 กรัม) และทานได้ง่ายที่สุดคือ นมสด อาหารจากธรรมชาติที่มีแคลเซี่ยมมาก ทานง่าย ได้แก่ นม เนย กุ้งแห้ง กะปิ ปลาร้า งาดำ ถั่วแดงหลวง ใบมะกรูด เราสามารถจะประมาณปริมาณแคลเซี่ยมที่ทานได้จากหลากหลายแห่ง ที่สำคัญคือต้องทานทุกวัน วันละมาก ๆ พอ 6. คนไทยได้แคลเซี่ยมจากอาหารที่รับประทานอยู่เพียงพอหรือยัง ? แคลเซี่ยมในอาหารที่คนไทยในแต่ละภาคได้รับ (มก. / วัน) ยังมีการวิจัยในคนกรุงเทพ ฯ โดยสุ่มในประชากร 396 คน พบว่า แม้ในคนกรุงเทพ ณ ซึ่งนับว่ามีโภชนาการที่ดีพอสมควร ก็ยังได้รับแคลเซี่ยมเฉลี่ยเพียง 361 มก./วัน โดยมีถึง 67 % ได้รับแคลเซี่ยมน้อยกว่า 400 มก./วัน 31% ได้ แคลเซี่ยมที่ดูดซึมได้ดี เรียกว่ามีค่า Bioavalabilty สูงที่สุดได้แก่ แคลเซี่ยมคาร์บอเนตซึ่งดูดซึมได้ 40 % สิ่งที่จะช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซี่ยมได้แก่ วิตามินดี 3 ซึ่เราอาจจะได้รับจากอาหารและแสงแดด ภาวะเป็นกรดในกระเพาะอาหาร น้ำตาลแลคโตสและกรดแอมมิโนในนม สารที่ลดการดูดซึมแคลเซี่ยม ได้แก่ แอลกอฮอล์ กาแฟ ยาขับปัสสาวะ ยาพวกเตรตร้าไซคลิน ยอลดกรดในอาหาร นอกจากนี้กรดออกซาลิก และกรดไฟติคในพืชผัก สามารถจับแคลเซี่ยม และ ลดการดูดซึมได้ กรดไฟติคจะอยู่ในรูปของเกลือไฟเตท ซึ่งสามารถจะจับกับแร่ธาตุได้ ที่มีการศึกษา อาหารที่มีไฟเตทมากดังกล่าว ได้แก่ ข้าวกล้อง ข้าวเหนียวดำ ลูกเดือย เมล็ดแตงโมแห้ง งาดำ งาขาว ถั่วเหลือง เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ ถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วเขียว 7. ถ้าได้รับแคลเซียมไม่พอ จะเกิดอะไรขึ้น ? 8. โรคกระดูกพรุน คืออะไร ? อาหารที่ไม่ควรบริโภค 9. รับประทานแคลเซี่ยมมาก ๆ นาน ๆ จะอันตรายหรือไม่ ? การได้รับแคลเซี่ยมในปริมาณน้อยกว่า 2000 มก. ถือว่าปลอดภัย สำหรับวัยรุ่นและผู้ใหญ่ทั่วไป ถ้าในปริมาณที่มากกว่า 2000 มก./วัน ถือว่าไม่ปลอดภัย และอาจเป็นอันตรายได้ ถ้าได้รับเช่นนี้ต่อเนื่องหลายๆวัน ติดๆกัน โดยจะทำให้ท้องผูกและอาจทำให้เป็นนิ่วในไตหรือในระบบปัสสาวะได้ |
โสมเป็นพืชสมุนไพรที่มีคนรู้จักมากที่สุดในโลก |
โสมถือเป็นราชาแห่งสมุนไพรทีเดียว และถูกนำมาใช้เป็นเวลานานกว่า 2000 ปี แล้ว โสมมีอยู่ด้วยกัน สามสายพันธ์ คือ โสมเอเชีย เช่น จีน เกาหลี (Panax ginseng, C.A. Meyer) โสมอเมริกัน และแคนาดา (Panax quinquefolium ) และโสมไซบีเรีย ( Eleutherococcus senticosus ) แต่อย่างหลังสุด ไม่ใช่โสมที่แท้จริงตามสายพันธ์ของโสม แต่ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่ามีระบบการทำงานคล้ายโสม โสมเอเชีย มีถิ่นกำเนิดในตอนเหนือของจีน เกาหลีและประเทศสหรัฐอเมริกา ในตำรายาแผนโบราณของจีน ระบุว่า โสมเป็นสมุนไพรที่ช่วยเสริมความแข็งแรงให้แก่ระบบย่อยอาหาร และปอด ช่วยทำให้จิตใจสงบและเพิ่มพละกำลังโดยส่วนรวม สำหรับสรรพคุณทางวิชาการทางการแพทย์ที่น่าสนใจ รวมถึงความปลอดภัย มีดังนี้ 1. ช่วยบำรุงหัวใจ โสมมีสรรพคุณในการช่วยบำรุงหัวใจโดยออกฤทธิคล้ายกับยาหัวใจ ( digoxin ) ( อ้างอิงที่ 1 ) อย่างไรก็ตามมีข้อแนะนำว่าหากต้องการให้ปลอดภัยที่สุด ไม่ควรทานโสมกับยาแอสไพริน รวมถึงไม่ควรทานอย่างยิ่งในสตรีตั้งครรภ์และเด็ก ไม่ควรทานในคนที่ตับอักเสบคือมีเอนไซม์ของตับสูงแล้ว ( ไวรัสตับอักเสบบีที่เป็นพาหะ ยังไม่มีเอนไซม์สูงจะทานได้ ) หรือตับอักเสบจนตัวเหลืองตาเหลืองหรือตับโต ดังนั้นถ้าเรามีโรคประจำตัวควรถามหมอของเราก่อนว่าจะทานได้ไหม และเนื่องจากโสมเป็นของร้อนบางคนทานแล้วก็หงุดหงิด ถ้าอยากจะทานให้อายุวัฒนะจริงๆก็ให้ทานร่วมกับใบบัวบก ซึ่งเป็นของเย็น จะดีที่สุด ซึ่งคนอายุยืนมาก ๆ ก็ทานโสมกับใบบัวบกเป็นประจำ เอกสารอ้างอิง : 1. Effects of red ginseng on the congestive heart failure and its mechanism . Zhongguo Zhong Xi Yi Jie He Za Zhi 1995;15(6):325-7. |
สาหร่ายสไปรูลิน่าเป็นสาหร่ายรูปเกลียวที่มีขนาดเล็กมาก |
นับเป็นอาหารเสริมสุขภาพที่มีสารอาหารหลากหลายมากที่สุดตัวหนึ่งของโลก สาหร่ายสไปรูไลน่าเป็นแหล่งของโปรตีนสมบูรณ์แบบที่เพียบพร้อมไปด้วยกรดอะมิโนชนิดที่จำเป็นต่อร่างกายครบทั้ง 8 ชนิด (กรดอะมิโนเอสเซนเซียล, ไอโซลิวซีน, ลิวซีน, เมไธโอนีน, เฟนนิลอะลานีน, ทรีโอนีน, วาลีน) และอื่นๆ อีก 10 ชนิด โปรตีนสมบูรณ์เหล่านี้อยู่ในรูปที่ย่อยง่าย ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้รวดเร็ว สาหร่ายสไปรูไลน่ายังมีกรดไขมันที่จำเป็นและเป็นแหล่งของธาตุเหล็ก และโฟลิค แอซิด (Folic Acid) ชั้นดี ซึ่งมีความสำคัญต่อการสร้างเม็ดเลือดแดง สาหร่ายสไปรูไลน่ายังอุดมไปด้วยแร่ธาตุที่ช่วยชะลอความเสื่อมชราของร่างกายและลดโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง ได้แก่ เบต้าแคโรทีน, วิตามิน อี, สังกะสีและซีลิเนียม ซึ่งยังช่วยลดระดับไขมันในเลือดอีกด้วย สาหร่ายสไปรูไลน่าเป็นสารอาหารจากพืช เป็นอาหารที่ดีเยี่ยมสำหรับผู้ทานเจและมังสวิรัติ เพราะมีโปรตีนสูงและมีวิตามินที่ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง (ซึ่งอาจจะพบได้ในผู้ที่รับประทานอาหารเจและมังสวิรัติ) คุณค่าทางโภชนาการเมื่อเทียบกับอาหารอื่น - มีโปรตีนสูงกว่าเนื้อวัว 3-4 เท่า มากกว่าไข่ 4 ถึง 5 เท่า - มีกรดอะมิโนทั้ง 8 ชนิด ที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ครบถ้วน - มีเบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นแหล่งของวิตามิน เอ ที่มีมากกว่าแครอทถึง 20-25 เท่า - มีวิตามินและเกลือแร่อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม เมื่อเทียบต่อน้ำหนักกับอาหารชนิดอื่น - มีวิตามิน บี1 มากว่าผัก ผลไม้ และสัตว์บางชนิดเกือบ 1100 เท่า - มีวิตามิน บี2 มากกว่าอาหารอื่นๆ 5-20 เท่า - มีวิตามิน บี12 ซึ่งช่วยเสริมสร้างความจำ และช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง คนส่วนมากบริโภควิตามิน บี12 จากตับสัตว์เท่านั้น แต่ในสาหร่ายสไปรูไลน่ามีวิตามิน บี12 มากกว่าที่จะพบในตับของวัวถึง 2.5 เท่า ดังนั้น นอกเหนือจากเป็นอาหารสมองที่ดีแล้ว ยังเป็นอาหารที่ดีเยี่ยมสำหรับผู้บริโภคอาหารเจและมังสวิรัติ - มีกรดแกมมา-ไลโนเลนิก (Gamma Linolenic Acid) ซึ่งเป็นกรดไขมันที่สำคัญในการช่วยลดคลอเรส เตอรอลในร่างกาย ช่วยป้องกันโรคหัวใจ สาหร่ายสไปรูไลน่ามีผลต่อร่างกายของเราอย่างไร 1. ต้านเชื้อไวรัสหลายชนิด (Antiviral) และลดการก่อมะเร็ง (Antimutagenic) 2. ช่วยกระตุ้นและเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน 3. ลดไขมันในเลือดได้ทั้งคลอเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์ อย่างมีนัยสำคัญ 4. มีสารเบต้าแคโรทีน ไฟโคไชยานิน และคลอโรฟิลซึ่งเป็นสารต่อต้านมะเร็ง มีงานวิจัยว่าสามารถลดการเกิดมะเร็งในช่องปาก ในประชากรกลุ่มที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดมะเร็งชนิดนี้ 5. มีกรดอะมิโนเมไธโอนิน ช่วยบำรุงตับและสามารถลดความเป็นอันตรายต่อตับเมื่อได้รับสารพิษ 6. มีความปลอดภัยสูง ได้มีการวิจัยความเป็นพิษและผลต่อการตั้งครรภ์ในสัตว์ทดลองและพบว่าปลอดภัย |
กวาวเครือขาว ( Pueraria mirifica ) เป็นสมุนไพรที่กล่าวได้ว่า เป็นราชินีสมุนไพรไทยโดยแท้ มีชื่อเสียงมานานนับร้อยปี สรรพคุณโดยรวมจะเน้นไปใน การทำให้ผู้สูงอายุ โดยเฉพาะสตรีวัยทอง กลับสดชื่น กลับมาเป็นสาว นอกจากนี้ กวาวเครือยังสนับสนุนความเป็นผู้หญิง ไปในทำนองให้สวยงามขึ้น และบำรุงอวัยวะภายใน ไปในทางที่ ส่งเสริมวัยเจริญพันธ์
สรรพคุณกวาวเครือ ในตำราแพทย์แผนโบราณ
ตำราแผนโบราณได้กล่าวไว้ดังนี้ " คนอ่อนเพลีย ผอมแห้ง แรงน้อย นอนไม่หลับ กินไม่ได้ กินยานี้ 20-30 วัน โรคอ่อนเพลียหายสิ้น นอนหลับสบาย เดินไปมาได้ตามปกติ กวาวเครือบำรุงโลหิต บำรุงสมอง บำรุงกำลัง หญิงอายุ 70-80 ปี กินแล้วอ้วนท้วนสมบูรณ์ กลับมีระดูอย่างสาว นมมีไตแข็งขึ้นอีก ชายกินแล้วนมแตกพานแข็งเหมือนเด็กหนุ่ม มีกล้าม เนื้อหนังเต่งตึง ท่านห้ามเด็กหนุ่มสาวกิน ตำผงกินกับน้ำนมวัว หัวคิดสมองปลอดโปร่ง ทรงจำตำราโหราศาสตร์ได้ถึง 3 คัมภีร์ เนื้อหนังจะนิ่มนวลดุจเด็ก 6 ขวบ อายุจะยืนถึง 3,000 กว่าปี โรคาพยาธิจะไม่มาเบียดเบียนเลย รับประทานกับน้ำข้าวที่เช็ดไว้ให้เปรี้ยว จะมีเนื้อหนังนิ่มนวลดุจเทพธิดา รับประทานกับน้ำมันเนยหรือน้ำผึ้ง จะอายุยืน ท่องโหราศาสตร์ได้ 3 คัมภีร์ จะรับรองมาตุคามได้ถึงพันคน ( น่าจะเป็นกวาวเครือแดง ) รับประทานกับนมเปรี้ยว อายุยืน ผมไม่ขาว ฟันไม่หลุด เนื้อหนังไม่ย่น รับประทานกับตรีผลา (มะขามป้อม สมอไทย สมอพิเภก) จักษุที่มัวหรือมีฝ้า แลไม่เห็นก็จะเห็น แช่นมควายทาผม ผมจะงอกดี ผมขาวจะดำ ทาผมด้วยน้ำมันงา ผมจะไม่ขาว เนื้อหนังจะไม่ย่น โรคาพยาธิทุกจำพวกจะไม่มีเลย แช่น้ำนมทา คนที่เสียจักษุโดยมีฝ้าปิด 6 เดือน จะกลับเห็นดีตามเดิม ( อ้างอิงที่ 1 )
สารสำคัญในกวาวเครือ
สารสำคัญ ที่พบในกวาวเครือขาวมีมากมาย ที่เด่น ๆ ได้แก่ miroestrol, daidzein, genistin, puerarin, สารต่าง ๆ เหล่านี้หลายชนิดมีคุณสมบัติเป็น ไฟโตเอสโตรเจน (Phytoestrogen) คือเป็นเอสโตรเจนที่ได้จากพืช และออกฤทธิ์เช่นเดียวกับเอสโตรเจนทุกประการ โดยออกฤทธิ์ที่ตัวรับ ( receptor ) เดียวกับเอสโตรเจน สารไฟโตรเอสโตรเจน พบมากในถั่วเหลือง และมีรายงานมากมายว่า สามารถมีฤทธิ์ลดการสร้างอนุมูลอิสระ ( Anti- oxidant ) ซึ่งอาจต้านมะเร็งและช่วยในโรคหัวใจ และมีรายงานว่าการทานธัญพืชและพืชตระกูลถั่วเหลืองสามารถลดอุบัติการณ์มะเร็งเต้านม ต่อมลูกหมาก และลำไส้ใหญ่ และช่วยให้โรคหัวใจดีขึ้น แต่ทั้งนี้ก็ยังไม่อาจสรุปได้ว่าการใช้กวาวเครือสามารถจะลดมะเร็งหรือป้องกันมะเร็ง ได้ แต่ก็มีงานวิจัยว่ากวาวเครือขาวไม่มีผลส่งเสริมต่อการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมหลายชนิด และยังอาจยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมบางชนิดได้ด้วย
ความปลอดภัย
ปัจจุบันกวาวเครือชนิดที่รับประทาน ได้รับอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนเป็นตำรับยาแผนโบราณ และยาแผนโบราณสามัญประจำบ้าน ซึ่งมีกวาวเครือในปริมาณ ประมาณ 100 มก. เป็นที่ยอมรับว่าปลอดภัย ผ่านการวิจัยในความเป็นพิษระยะยาวในหนูทดลองแล้ว ( อ้างอิงที่ 12 ) และการใส่ร่วมกับสมุนไพร เช่น ตรีผลา คือ มะขามป้อม สมอไทย สมอพิเภก ก็มีในตำรับโบราณ ทั้งนี้ ตรีผลา ก็มีความเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปรับสมดุลของร่างกาย การทานร่วมกับกวาวเครือ จึงช่วยให้มีสมดุลที่ดี
กวาวเครือจึงปลอดภัย ถ้ามีการรับประทานอย่างถูกต้องและเหมาะสม
การรับประทานกวาวเครืออย่างปลอดภัย
จะต้องมีการตรวจร่างกายที่จำเป็นก่อนการรับประทานได้แก่ ตรวจเต้านม ตรวจการทำงานของตับ และมดลูก ทั้งนี้เพราะกวาวเครือไม่เหมาะในผู้ที่เป็นโรคของเต้านม มดลูกและ ตับ โรคของเต้านมที่เป็นอยู่ก่อนจะห้ามรับประทานกวาวเครือโดยเด็ดขาดทุกชนิดไม่ว่าจะเป็น ซีสต์ เป็นพังผืด และการตรวจเต้านมยังเป็นการตรวจสกรีนหามะเร็งในเบื้องต้นด้วย นอกจากนี้ก็ควรตรวจมดลูกก่อน เพราะกวาวเครือ ก็ไม่น่าจะเหมาะสมในผู้ที่เป็นโรคในมดลูกทุกชนิดเช่นกัน เช่น พังผืด เนื้องอก รวมทั้งก้อนในมดลูก แม้จะเป็นคนที่ปวดประจำเดือนบ่อย ๆ ก็ไม่ควรรับประทาน
เมื่อรับประทานกวาวเครือ ควรมีการหยุดทานเป็นระยะในช่วง 7 วันสุดท้ายของแต่ละเดือนเหมือนกับการรับประทานยาคุมกำเนิด เพื่อให้โอกาสมดลูกได้พักและมีประจำเดือนตามปกติ และผู้ที่รับประทานกวาวเครือ ก็ควรได้รับการตรวจภายในและมะเร็งเต้านมเป็นระยะ ตามที่กำหนดไว้เช่น ทุก 6 เดือน หรือ หนึ่งปี
ข้อห้ามของการรับประทานกวาวเครือ
1. ผู้ที่เป็นโรคของทรวงอก เช่น เป็นซีสต์ เป็นพังผืด เป็นก้อน เป็นเนื้องอก เป็นมะเร็ง
2. ผู้ที่เป็นโรคของมดลูกและรังไข่ ทุกชนิด ทำนองเดียวกันกับทรวงอก
3. ผู้ที่ดื่มสุรา มีประวัติเป็นโรคตับ เป็นพาหะไวรัสตับอักเสบ บี ซึ่งมีโอกาสเป็นมะเร็งตับสูง
4. ไม่ใช้ในเด็กและสตรีมีครรภ์
5. สตรีวัยเจริญพันธุ์ ควรปรึกษาแพทย์
โดยสรุป กวาวเครือขาวจึงเป็นสมุนไพรที่มีคุณประโยชน์ และมีความปลอดภัยถ้ารู้จักใช้อย่างเหมาะสม ถือป็นสมุนไพรประจำชาติไทยที่มีคุณภาพสูงใคร ๆ ก็สู้ไม่ได้ และเป็นสมุนไพรที่นำชื่อเสียงมาให้ประเทศไทยอย่างแท้จริง
เอกสารอ้างอิง
1. หลวงอนุสารสุนทร. ตำรายาหัวกวาวเครือ. กรมการพิเศษ เชียงใหม่ โรงพิมพ์อุปะติพงศ์ พฤษภาคม 2474
2.ผลของกวาวขาว ( Pueraria mirifica Sahw et Suvatabandhu ) ต่อยุงก้นปล่อง
( Anopheles dirus Peyton, Harrison ) . Abstract 16th Conference on Science and Techonology of Thailand 25-27 October 1990:16
3. ฤทธิ์ในการคุมกำเนิดของกวาวขาวในหนูขาว. วารสารคณะวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2529-2530: 13-14 ( 2/1 ):75-78
4. ผลของกวาวเครือขาวต่อการสืบพันธ์ของนกพิราบ การประชุมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 18 กรุงเทพ ประเทศไทย 27-29 ตุลาคม 2535:178
5. ผลของสารสกัดสมุนไพรบางชนิดต่อการสืบพันธ์ของหนูขาวเพศเมีย การประชุมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 20 สงขลา ประเทศไทย 19-21 ตุลาคม 2537:280
6. สมุนไพร อาหารเสริม ฮอร์โมน เอกสารประกอบการสัมนาวิชาการ สมุนไพรกับสตรีวัยทอง. ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย ร่วมกับ สถาบันแพทย์แผนไทย 19-20 กรกฏาคม 2542 : 35-417.
7. ภาพรวมงานวิจัยและพัฒนากวาวเครือตั้งแต่อดีต 2524 ถึงปัจจุบัน 2541 : เอกสารประกอบการ สัมมนาวิชาการกวาวเครือ สถาบันแพทย์แผนไทย กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข 1 ธันวาคม 2541:13-25
8. การศึกษาเบื้องต้นเกี่ยวกับกวาวขาวในลูกสุนัข. ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และฝ่ายสัตวแพทย์ กองสาธารณสุข เทศบาลนครเชียงใหม่ เชียงใหม่
9. พิษของกวาวเครือขาว ( Pueraria mirfica ) ต่อนกกระทาพันธ์ญี่ปุ่น. วารสารคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2527; 11 ( 1-2 ) :46-55
10. อิทธิพลของกวาวเครือขาว ต่อนกกระทา การสร้างเม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาว วารสารเทคนิคการแพทย์เชียงใหม่ 2535; 25(3):107-14
11. การศึกษาผลของกวาวขาวที่มีต่ออวัยวะสืบพันธ์ต่อมหมวกไต ตับ และพฤติกรรมการสืบพันธุ์ในหนุขาวเพศผู้ วิทยานิพนธ์วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2527
12. พิษวิทยาของกวาวเครือขาว. ประมวลผลงานวิจัยด้านพิษวิทยา ของสถาบันวิจัยสมุนไพร เล่ม 2 กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พิมพ์ครั้งที่ 1 ธันวาคม 2546